ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เอ็นเค (NK)

ดูแลผู้สูงอายุที่เรารัก

ให้ปลอดภัย...ห่างไกลโรค

ด้วยการเสริมสร้าง...

ระบบภูมิคุ้มกัน...กันเถอะค่ะ


โรคภัยที่มาเยือน มักเกิดจากความอ่อนแอหรือไม่สมดุลของระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล โดยเฉพาะในผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวและมีความเสื่อมสภาพตามวัยของเซลล์ต่างๆในร่างกาย มาเสริมภูมิต้านทาน ป้องกันความเจ็บป่วยจากโรคร้ายกันดีกว่าค่ะ

โรคจากการติดเชื้อจะเกิดขึ้นใหม่ๆมาตลอด เพราะเชื้อโรคเองก็พยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมันเช่นกัน อย่างเชื้อโรคที่ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงที่เรียกว่า โควิด-19 นั้น สิ่งที่ทำได้นอกเหนือจากการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันต่างๆ และระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) แล้ว สิ่งที่ดีที่สุดคือ การดูแลสุขภาพร่างกายให้มีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอยู่เสมอ ดังนี้

- รับประทานอาหาร ผักสด ผลไม้ ที่มีประโยชน์และมีสารสำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกัน ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอ สังกะสี โปรตีน และจุลินทรีย์สุขภาพ (Probiotics) เป็นต้น

- ดื่มน้ำสะอาดให้ได้อย่างน้อยวันละ 2 ลิตร

- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพักผ่อนให้เพียงพอ

และอย่าลืม NK ที่ไม่เพียงแต่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ต่อสู้กับเชื้อโรคและเซลล์ที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ยังช่วยฟื้นฟูความเสื่อมสภาพของเซลล์ที่สำคัญของอวัยวะต่างๆในร่างกาย จึงช่วยฟื้นคืนหน้าที่การทำงานของอวัยวะนั้นๆ ส่งผลต่อการฟื้นตัวในทางที่ดีของโรคต่างๆที่เกิดจากความเสื่อมของเซลล์ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม ข้ออักเสบเรื้อรัง เก๊าต์ โรคไต โรคตับ กรดไหลย้อน อัมพาต อัมพฤกษ์ เป็นต้น

 เสริมสร้าง...ระบบภูมิคุ้มกัน

ซ่อมแซม...เซลล์ที่เสื่อมสภาพ

ปรับสมดุล...การทำงานของอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย

 

“ภูมิคุ้มกันดี เริ่มสร้างที่ตัวคุณ”

 

เคยสงสัย!!!มั้ยคะว่า ทำไมบางคนเจ็บป่วยบ่อย สามวันดีสี่วันไข้ แต่บางคนอึดและทนมาก มีสุขภาพแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บป่วย สามารถอยู่ท่ามกลางคนป่วยด้วยโรคต่างๆ โดยเฉพาะโรคของระบบทางเดินหายใจได้ นอกจากต้องดูแลป้องกันตัวเองอย่างเคร่งครัดตามหลักปฏิบัติทั่วไปที่ทุกท่านทราบกันดีแล้ว การดูแลตัวเองจากภายในด้วยการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเราให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็เป็นอีกหนทางหนึ่งที่สำคัญมากที่ช่วยให้เราห่างไกลจากโรคภัยที่เกิดจากเชื้อโรคต่างๆได้

โรคเก่าไป...โรคใหม่ก็มา

มาเสริมภูมิต้านทานกันดีกว่า 

โรคภัยจากการติดเชื้อเกิดขึ้นใหม่ๆมาตลอด เพราะเชื้อโรคเองก็พยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอดของมันเช่นกัน ดังจะเห็นจากการเกิดโรคระบาดร้ายแรงตั้งแต่อดีต ย้อนไปเมื่อ 300 ปีก่อน เกิดโรคระบาดที่คร่าชีวิตผู้คนไปจำนวนมากดังนี้

 

พ.ศ. 2263 : กาฬโรค (Plague) เป็นโรคระบาดรุนแรงที่ติดต่อจากสัตว์สู่คน มีหมัดหนูเป็นตัวแพร่เชื้อ ซึ่งหนูจะอยู่ใต้ท้องเรือสำเภาที่ล่องไปติดต่อค้าขายในดินแดนต่างๆ เกิดการแพร่กระจายเชื้อและมีคนเสียชีวิตทั้งหมด 100,000 คน ในเมืองมาร์เซย์ ประเทศฝรั่งเศส

 

พ.ศ. 2363 : อหิวาตกโรค (Cholera) หรือที่เรียกว่า “โรคห่า” มีการระบาดจากอินเดีย เข้ามาไทยผ่านทางปีนัง ทำให้มีคนตายในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใกล้เคียงประมาณสามหมื่นคน และประมาณหนึ่งแสนคนทั่วโลก

 

พ.ศ. 2461 - 2463 : ไข้หวัดใหญ่สเปน (Spanish flu) เป็นการระบาดครั้งรุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ไข้หวัดใหญ่สเปนเกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ เอช1 เอ็น1 (H1N1) แพร่ระบาดไปทั่วโลกในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 3 ของประชากรโลกในยุคนั้น หรือประมาณ 500 ล้านคน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตไปราว 20-50 ล้านคน

 

พ.ศ. 2499 - 2501 : ไข้หวัดใหญ่เอเชีย (Asian Flu) เป็นการระบาดรุนแรงครั้งใหญ่ของเชื้อไข้หวัดกลุ่มเอ (เอช2 เอ็น2) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากจีนเมื่อปี 2499 และมาหยุดระบาดเมื่อปี 2501 องค์การอนามัยโลกยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตประมาณ 2 ล้านคนทั่วโลก แต่คาดว่าตัวเลขจริงน่าจะถึง 4 ล้านคน

 

พ.ศ. 2511: โรคไข้หวัดใหญ่ฮ่องกง (Hong Kong Flu) เกิดจากเชื้อไข้หวัดสายพันธุ์ เอช3 เอ็น2 ซึ่งกลายพันธุ์จากโรคไข้หวัดใหญ่เอเชียที่ระบาดก่อนหน้าราว 10 ปี  พบครั้งแรกในเกาะฮ่องกง ก่อนลุกลามไปยังเวียดนาม สิงคโปร์ และขยายไปยังอินเดีย ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น ยุโรป แอฟริกา อเมริกาใต้ และสหรัฐ แม้จะมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำเพียง 5% แต่ก็ทำให้ประชากรโลกเสียชีวิตไปกว่า 1 ล้านคน สำหรับในฮ่องกง จุดเริ่มต้นการระบาด มีผู้ป่วยมากถึง 500,000 คน หรือคิดเป็น 15% ของประชากรฮ่องกงในเวลานั้น

 

พ.ศ. 2519 : โรคเอดส์ (AIDS) ถูกพบครั้งแรกในประเทศคองโก จนถึงปัจจุบันโรคเอดส์คร่าชีวิตคนไปแล้วกว่า 25 ล้านคน โดยมีจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสเอชไอวีแล้วประมาณ 60 ล้านคนทั่วโลก

 

พ.ศ. 2545 : โรคซาร์สหรือโรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS : Severe Acute Respiratory Syndrome) ระบาดครั้งแรกในมณฑลกวางตุ้งของจีน โดยพบผู้ป่วยปอดบวมซึ่งไม่ตอบสนองต่อยาปฏิชีวนะ ต่อมาเกิดการระบาดของโรคปอดบวมในเวียดนาม ฮ่องกง สิงคโปร์ แคนาดา จากการสอบสวนทางระบาดวิทยาสามารถเชื่อมโยงได้ว่า มาจากแพทย์ท่านหนึ่งที่ดูแลรักษาผู้ป่วยในมณฑลกวางตุ้ง ได้เดินทางมาฮ่องกงขณะมีอาการไข้ และเข้าพักที่โรงแรมก่อนจะถูกนำส่งโรงพยาบาลและเสียชีวิตในเวลาต่อมา ปรากฏว่าคนในโรงแรมหลายคนติดเชื้อ และนำเชื้อกลับไปยังประเทศของตนหรือเมืองที่ตนเดินทางต่อไป ส่งผลให้มีการแพร่ระบาดไปยัง 29 ประเทศ รวมมีรายงานผู้ป่วย 8,098 ราย และเสียชีวิต 774 ราย อัตราป่วยตายร้อยละ 9.6

 

พ.ศ. 2552 : ไข้หวัดใหญ่ 2009 (Influenza2009) เป็นเชื้อไข้หวัดใหญ่กลุ่ม เอ (เอช1 เอ็น1) เริ่มแพร่ระบาดในเม็กซิโก และสหรัฐ ก่อนจะแพร่ระบาดไปหลายประเทศทั่วโลก เชื้อสายพันธุ์นี้มีองค์ประกอบพันธุกรรมที่เป็นผลรวมจากไข้หวัดใหญ่ในมนุษย์ ไข้หวัดนกที่พบในทวีปอเมริกาเหนือ และไข้หวัดหมูที่พบในทวีปเอเชีย และยุโรป ทำให้องค์การอนามัยโลกต้องเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ 2009 เนื่องจากหวั่นวิตกว่า เชื้อเอช1 เอ็น1 อาจจะกลายพันธุ์เป็นสายพันธุ์ที่อันตรายยิ่งขึ้น เนื่องด้วยโรคดังกล่าวสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้อย่างรวดเร็ว จึงจัดเป็นโรคติดเชื้อที่สำคัญในช่วงเวลานั้น สำนักงานควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐ (ซีดีซี) คาดการณ์ว่า โรคไข้หวัดใหญ่ 2009 คร่าชีวิตประชากรโลกรวมกว่า 280,000 คน แต่จำนวนผู้เสียชีวิตที่องค์การอนามัยโลกยืนยันมีไม่ถึง 20,000 คนทั่วโลก

 

พ.ศ. 2562 : ไวรัสโคโรน่าหรือ COVID-19 เริ่มระบาดเมื่อปลายปึ 2562 จากเมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน และได้แพร่กระจายไปทั่วโลก ข้อมูล ณ วันที่ 25 เมษายน 2564 มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกกว่า 133 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตประมาณ 3 ล้านคน ส่วนสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน (25/4/64) พบผู้ติดเชื้อเกือบ 30,000 คน เสียชีวิต 95 คน แม้ว่าอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้จะไม่สูงเท่าโรคระบาดร้ายแรงอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่ปัจจุบันเรายังไม่สามารถควบคุมการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสนี้ได้ เนื่องจากยังมีวัคซีนไม่เพียงพอต่อความต้องการ รวมถึงเชื้อไวรัสมีการปรับตัวและพัฒนาตัวเองกลายเป็นสายพันธุ์ต่างๆ ที่มีการติดต่อได้ง่ายและรุนแรงขึ้น

จากข้อมูลการเกิดโรคระบาดร้ายแรงที่ผ่านมา เป็นที่สังเกตได้ว่า เชื้อโรคมีการปรับตัวและกลายพันธุ์เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกๆ 10 ปี จะมีเชื้อก่อโรคใหม่ๆที่ทำให้เกิดการระบาดและคร่าชีวิตผู้คนมากมาย อย่างที่ทราบกันว่าเชื้อโรคที่ทำให้เกิดปอดอักเสบรุนแรงที่เรียกว่า โควิด-19 นั้น มีชื่อเป็นทางการว่า SARS-CoV-2 ซึ่งเป็นเชื้อโคโรนาไวรัสที่อยู่ในสปีชีส์เดียวกันและมีลำดับพันธุกรรมคล้ายกันกับ SARS-CoV-1 ที่ทำให้เกิดโรคซาร์สซึ่งระบาดหนักเมื่อปี 2545 ดังกล่าวข้างต้น

 

ดูแลภูมิคุ้มกัน...ก่อนสายเกินแก้

ภูมิคุ้มกัน (Immune System) เปรียบเสมือนกองกำลังที่จำเป็นของร่างกายที่ช่วยดูแลปกป้องและทำลายศัตรูที่บุกรุกเข้ามาในร่างกาย โดยศัตรูเหล่านี้เป็นสิ่งแปลกปลอมที่สามารถเข้าสู่ร่างกายของเราได้อย่างง่ายดาย ทั้งในรูปของสารเคมีที่เป็นส่วนผสมต่างๆของผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวันมากมาย ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน เช่น สบู่ ยาสีฟัน ครีมบำรุง ครีมกันแดด เครื่องสำอาง ยาย้อมผม ยาทาเล็บ ฯลฯ หรือจากมลพิษในน้ำ อากาศ จากการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน เช่น อาหารทะเล ผัก ผลไม้ เป็นต้น

ความเครียด การขาดสารอาหาร หรือการบริโภคอาหารที่ไม่เหมาะสมกับร่างกาย การพักผ่อนไม่เพียงพอ ขาดการออกกำลังกาย และอายุที่มากขึ้น ล้วนทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่อง เปิดโอกาสให้เชื้อโรคต่างๆ เข้ามาซ้ำเติมได้ง่าย รวมถึงระบบภูมิคุ้มกันไม่สามารถทำลายเซลล์ที่ผิดปกติหรือเสื่อมสภาพ จนเกิดเป็นเซลล์เนื้อร้ายหรือมะเร็งในที่สุด บางครั้งเมื่อเกิดการบุกรุกและทำลายซ้ำแล้วซ้ำเล่าเกิดเป็นการอักเสบเรื้อรัง ภูมิคุ้มกันอาจทำงานสับสนผิดเพี้ยนจนหันไปทำลายเนื่อเยื่อของตัวเราเองเกิดเป็นโรคภูมิแพ้ต่างๆ จนเกิดอันตรายต่อชีวิตได้ในที่สุด

จะเห็นได้ว่าทุกวันนี้ตราบใดที่เราต้องหายใจ ต้องบริโภคอาหาร ต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางโลกแห่งการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งเต็มไปด้วยมลพิษและสารเคมีเหล่านี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องมีภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งต่อสู้กับสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรคต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวมากมาย มาเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของเราตั้งแต่วันนี้กันเถอะค่ะ

 

 

แล้วจะเสริมภูมิคุ้มกันอย่างไร?

ให้ห่างไกลโรค

จากนี้ไป มนุษย์จะต้องเผชิญหน้ากับเชื้อหัวดื้อ เชื้อแปลกๆที่เราไม่สามารถใช้ยาอะไรไปฆ่ามันให้ราบคาบได้ อย่างที่ได้พบเห็นในปัจจุบันกันบ้างแล้ว เราจึงต้องสร้างเกราะเพื่อป้องกันตัวเอง คือ ทั้งป้องกันและทำลายเชื้อโรค ดีกว่าตามรักษาเมื่อป่วยแล้ว

ระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์มีอยู่ทั่วร่างกาย เปรียบเสมือนกองทัพทหารที่ป้องกันประเทศ

ต่อมน้ำเหลือง คือ หน่วยทหาร

ส่วนเส้นทางเดินทัพของทหาร คือ ม้าม ไขกระดูก และต่อมทอนซิล

สิ่งแปลกปลอมต่างๆ รวมทั้งจุลชีพก่อโรคจะผ่านเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองจากตำแหน่งที่เข้าสู่ร่างกาย ผ่านเนื้อเยื่อเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองเฉพาะที่ และผ่านทางเส้นเลือด จนถึงท่อน้ำเหลืองซึ่งกระจายไปทั่วร่างกาย


ถ้าภูมิคุ้มกันดี ร่างกายก็แข็งแรง แต่ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จะเป็นเหตุให้เชื้อโรคเข้าโจมตีได้ง่าย โรคภัยต่างๆรุมเร้า ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรียต่างๆ โรคเอดส์ โรคไต มะเร็งตับ มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลูปัสหรือเอสแอลอี (SLE) โรคภูมิแพ้ กรดไหลย้อน โรคสะเก็ดเงิน โรคหัวใจและหลอดเลือด ผิวหนังเสื่อมเหี่ยวย่นเกิดริ้วรอย เป็นต้น

ระบบภูมิคุ้มกันมีกลไกการทำลายโดยอาศัย เอ็นเค เซลล์..NK Cell (Natural Killer Cell) หรือ เซลล์เพชฌฆาต ซึ่งเป็นเซลล์ชนิดหนึ่งของเม็ดเลือดขาวลิมโฟไซท์ (Lymphocyte) เป็นทัพหน้าในระบบภูมิคุ้มกัน สามารถทำหน้าที่โดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ หรือทำความรู้จักสิ่งแปลกปลอมก่อน เซลล์เหล่านี้จะแสวงหาและทำลายเซลล์ชนิดอื่นๆที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย โดยเฉพาะการสร้างความแข็งแรงและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย



NK Cell เป็นเซลล์สำคัญในระบบภูมิคุ้มกัน เป็นด่านแรกในการปกป้องร่างกายจากเชื้อโรค และสิ่งที่มาคุกคาม เมื่อ NK Cell ถูกกระตุ้นจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง 2 ประการ คือ

1. ปล่อยสารสื่อโปรตีน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นการทำงานของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกัน ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

2. ทำหน้าที่เป็นเซลล์นักฆ่าที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายเซลล์ที่ติดเชื้อ รวมถึงเซลล์มะเร็ง

การทำงานของ NK Cells สามารถ "ปรับปรุง”หรือ "ปรับเป้าหมาย" เพื่อให้ภูมิคุ้มกันทำงานอย่างสมบูรณ์ NK Cells จึงสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคที่เข้ามาเยือน ตลอดจนควบคุมและจำกัดการเติบโตของเซลล์มะเร็งหลากหลายชนิด รวมถึงเซลล์ที่แสดงการป่วยจากการติดเชื้อทั่วไปได้เป็นอย่างดี

 

ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร "เอ็นเค"

อายุยืนและแข็งแรงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
ดูแลสุขภาพองค์รวมของคุณ...ด้วย NK

เสริมสร้าง...ระบบภูมิคุ้มกัน
ซ่อมแซม...เซลล์ที่เสื่อมสภาพ
ปรับสมดุล...การทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย

 

 

 

 

“สเต็มเซลล์ทำให้อะไรๆดูง่ายไปหมด”


การค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่ถือว่าเป็นการผ่าทางตันอย่างหนึ่งในวงการแพทย์คือ การพบว่า "สเต็มเซลล์" จากไขกระดูกเป็นตัวก่อตั้งระบบการรักษาตัวเองตามธรรมชาติของร่างกาย

ความรู้จากการค้นพบประการแรกในเรื่อง "สเต็มเซลล์" ก็คือพวกมันสามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นได้ ส่วนการค้นพบประการที่สองคือ มันเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ชนิดอื่นอย่างเป็นธรรมชาติทุกวันตลอดชีวิตของเรา

สรุปก็คือ สเต็มเซลล์ (Stem Cell) หรือเซลล์ต้นกำเนิดคือ เซลล์อ่อนที่ไม่มีหน้าที่ของเซลล์ที่เฉพาะเจาะจงสามารถสร้างขึ้นมาใหม่ได้เกือบไม่รู้จบและพร้อมจะเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงเพื่อไปทำหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่งที่เฉพาะเจาะจงได้หรือกลายเป็นเซลล์เนื้อเยื่อชนิดต่างๆในร่างกายได้

 

***สเต็มเซลล์… มหัศจรรย์พลังชีวิต***

ทุกครั้งที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บหรือเนื้อเยื่อทำงานไม่ปกติ เนื้อเยื่อเหล่านี้จะปล่อยสารออกมากระตุ้นให้มีการปลดปล่อยสเต็มเซลล์จากไขกระดูกและปล่อยโมเลกุล SOS ส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือออกมาดึงดูดสเต็มเซลล์อีกด้วย

ในขณะที่สเต็มเซลล์ไหลผ่านเส้นเลือดฝอยที่ไปเลี้ยงเนื้อเยื่อที่ทำงานไม่ปกตินั้น โมเลกุล SOS ดังกล่าวก็จะกระตุ้นให้สเต็มเซลล์เคลื่อนที่ผ่านผนังหลอดเลือดฝอยไปยังเนื้อเยื่อนั้นๆ เมื่อถึงที่หมายสเต็มเซลล์ทั้งหลายจะแพร่จำนวนและเปลี่ยนแปลงตัวเองไปเป็นเซลล์จำเพาะของเนื้อเยื่อเหล่านั้น

ปรากฎการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อมีอาการหัวใจวาย กระดูกหัก โรคลมปัจจุบัน (สมองขาดเลือด) เกิดแผลที่ผิวหนังและเกิดบาดเจ็บทุกชนิดที่เนื้อเยื่อ แม้แต่กระบวนการเสื่อมของเซลล์ในร่างกายเมื่อเวลาผ่านไป


ทางเลือกใหม่...

ในการเสริมสร้างสเต็มเซลล์

จากการศึกษาและวิจัยในแนวทางของเภสัชศาสตร์สเต็มเซลล์มากว่า 20 ปีโดยการพัฒนาเภสัชสารใหม่ๆจากสมุนไพรไทยผ่านกรรมวิธีการหมักแบบชีวภาพที่ควบคุมระบบนิเวศน์ในถังหมักแบบเฉพาะและการทำให้แห้งโดยไม่ผ่านความร้อน (Dynamic Freeze Drying) ทำให้ได้ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่ช่วยดูแลสุขภาพองค์รวมและเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่สร้างความภาคภูมิใจของคนไทยในชื่อ “เอ็นเค”

 

“เอ็นเค” ประกอบด้วย...

     1. พลูคาว มีชื่อวิทยาศาสตร์คือ Houttuynia cordata Thunb. สารสำคัญจากพลูคาวมีฤทธิ์ต้านไวรัสและแบคทีเรียได้ นอกจากนี้ สารพฤกษเคมี (Phytonutrient) ต่างๆ จากสมุนไพรพลูคาว เช่น Volatile Oil, Fatty Acid, Flavonoids, Alkaloids, Phytosterols ช่วยบำรุงสุขภาพองค์รวม ลดอนุมูลอิสระและขจัดพิษโดยเฉพาะสารพฤกษเคมีชื่อ “เคอเซติน” (Quercetin) จะไปยึดจับกับเหล็กอิออน (Iron Chelator) ที่ไหลเวียนอยู่ในกระแสเลือดไม่ให้ไปเสริมฤทธิ์กับอนุมูลอิสระที่ชื่อ “ไฮดรอกซิลกรุ๊ป” (Hydroxyl Group) ซึ่งเป็นอนุมูลอิสระที่มีความเป็นพิษสูงไม่ให้ไปสร้างความเสียหายแก่เนื้อเยื่อและอวัยวะต่างๆได้ นอกจากนี้ด้วยกรรมวิธีการหมักพลูคาวแบบชีวภาพที่ควบคุมระบบนิเวศน์ในถังหมักแบบเฉพาะ ทำให้ได้สารสำคัญอีก 2 ตัว ได้แก่

        - สารเบต้ากลูแคนจากยีสต์ ช่วยกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตและปลดปล่อยสเต็มเซลล์มากขึ้น

        - สารสำคัญจากผนังเซลล์และดีเอ็นเอของแบคทีเรีย Lactobacillus casei และ Lactobacillus plantarum ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทานให้กำจัดเชื้อก่อโรคต่างๆ

        นอกจากนี้ ไบโอโฟตอน หรือพลังงานจากแสงแดดที่พืชเก็บสะสมไว้ ยังช่วยควบคุมปฏิกิริยาชีวเคมีที่ร่างกายใช้เป็นพลังชีวิตให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

     2. มะขามป้อม วิตามินซีในมะขามป้อมช่วยให้เบต้ากลูแคนทำงานได้ดีขึ้น และช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์เพชฌฆาต (NK Cell) ที่มีหน้าที่ต่อสู้และกำจัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอม

     3. เห็ดหลินจือ เป็นยาบำรุงร่างกายและใช้เป็นยาอายุวัฒนะในการยืดอายุ ในเห็ดหลินจือมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า 250 ชนิด ซึ่งดูแลรักษาโรคต่างๆ ได้หลายโรค

     4. ใบบัวบก มีสรรพคุณโดดเด่นในด้านการบำรุงสมอง การทำงานของสารสกัดบัวบกที่ตรงเข้าออกฤทธิ์กับสมอง ช่วยทำให้การหายใจระดับเซลล์ภายในสมองทำงานได้ดีขึ้น มีสารต้านอนุมลอิสระ ช่วยสร้างสมดุลสารสื่อประสาท และต้านการเสื่อมสภาพของเซลล์สมองได้

 

กลไกการทำงานของ “เอ็นเค”

• เสริมสร้าง... ระบบภูมิคุ้มกัน สารสำคัญจากผนังเซลล์และดีเอ็นเอของแบคทีเรีย Lactobacillus casei และ Lactobacillus Plantarum มีฤทธิ์กำจัดเชื้อก่อโรคได้ ส่วนสารเบต้ากลูแคนมีคุณสมบัติในการกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตสเต็มเซลล์ซึ่งจะกลายไปเป็นเซลล์เพชฌฆาต (NK Cell) ไปกำจัดเชื้อไวรัส เซลล์ที่ติดเชื้อไวรัส และเซลล์มะเร็งได้อย่างต่อเนื่อง

• ซ่อมแซม... เซลล์ที่เสื่อมสภาพ สารเบต้ากลูแคนช่วยกระตุ้นไขกระดูกให้ผลิตสเต็มเซลล์มากขึ้น โดยสเต็มเซลล์ทำหน้าที่เป็นเซลล์สำรองของอวัยวะต่างๆเพื่อซ่อมแซมและเหนี่ยวนำให้เซลล์ที่มีอยู่อ่อนวัยลงได้ โดยผ่านกระบวนการเพิ่มเอนไซม์เทโลเมอเรส (Telomerase) ที่ทำให้ความยาวของเทโลเมียร์ (Telomere) ที่ปลายของโครโมโซมมีความยาวอยู่นานขึ้น ส่งผลให้การทำงานของเซลล์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ชะลอความชราของเซลล์และอวัยวะต่างๆทั่วร่างกาย ช่วยลดอาการของโรคที่เกี่ยวข้องกับความชรา

• ปรับสมดุล... การทำงานของอวัยวะต่างๆในร่างกาย สารสำคัญหลายตัวใน “เอ็นเค” มีคุณสมบัติในการกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว เกล็ดเลือด และสเต็มเซลล์ ทำให้ระบบการทำงานของเซลล์ที่ประกอบเป็นอวัยวะต่างๆในร่างกาย ได้แก่ ต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมไทรอยด์ เซลล์ผนังหลอดเลือด เซลล์ที่เป็นโครงสร้างของหูรูดทวารหนัก ท่อปัสสาวะ และหูรูดที่กั้นระหว่างท่ออาหารและกระเพาะอาหารให้ทำงานเป็นปกติ หรือทำให้โรคที่เกิดจากการผลิตฮอร์โมนเพศชายเพศหญิงมากหรือน้อยเกินไป ให้กลับมาเป็นปกติ ซึ่งเป็นการช่วยปรับระบบความสมดุลของร่างกาย

“เอ็นเค” เหมาะกับใคร?

เนื่องจาก “เอ็นเค” มีผลในการกระตุ้น “สเต็มเซลล์” ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดทำหน้าที่เป็นระบบซ่อมแซมของร่างกาย จึงช่วยฟื้นฟูผู้ที่มีปัญหาที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยยวะต่างๆ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ข้อเสื่อม ข้ออักเสบเรื้อรัง เก๊าต์ โรคไต หรือผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ภูมิต้านทานต่ำ ภูมิแพ้ สะเก็ดเงิน ตลอดจนยับยั้งการเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติของร่างกาย เชื้อโรคต่างๆ และต่อสู้กับแบคทีเรียรวมถึงไวรัสได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังรวมไปถึงผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง คงความเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่เสมอ

 

 

 

 

ทำไมต้องเป็น...

“น้ำหมักพลูคาวอัดเม็ด NK”

1. กรรมวิธีการหมักแบบชีวภาพที่ควบคุมระบบนิเวศน์ในถังหมักแบบเฉพาะ และการทำให้แห้งโดยไม่ผ่านความร้อน (Dynamic Freeze Drying) ทำให้คงคุณค่าและประสิทธิภาพของสารออกฤทธิ์ทุกตัว

2. กระบวนการหมักพลูคาว ช่วยเพิ่มฤทธิ์ทางชีวภาพ (Bioactivity) ของพลูคาว โดยจุลินทรีย์ชนิดดี (Probiotics) ที่เกิดจากการหมัก ทำให้เกิดสารสำคัญที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ได้แก่ เบต้า-กลูแคน, กรดแลคติก และกรดอินทรีย์หลายชนิด นอกจากนี้จุลินทรีย์ดังกล่าวยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารพฤกษเคมี (Phytochemical) อีกด้วย

3. ส่วนผสมที่ลงตัวของ NK ซึ่งนอกจากสารสกัดพลูคาวที่ผ่านกรรมวิธีพิเศษดังกล่าวแล้ว ยังคัดสรรสมุนไพรและสารสกัดอีกหลายตัวที่ช่วยเสริมฤทธิ์การทำงานของ NK ได้แก่ สารสกัดจากมะขามป้อม เห็ดหลินจือ และใบบัวบก

4. รับประทานง่ายในรูปแบบสารสกัดอัดเม็ด ไม่มีสารเจือปนจากแคปซูลหรือสารอื่นใดเข้าสู่ร่างกาย

 

ขนาดที่รับประทาน : รับประทานครั้งละ 1 เม็ด วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน (เวลาท้องว่าง)

เลขทะเบียนอาหารและยา :  12-1-07758-1-0001

ขนาดบรรจุ : 60 เม็ด/กล่อง

พลูคาว มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb. เป็นพืชสมุนไพรที่รู้จักกันมากว่า 200 ปี โดยมีงานวิจัยมากมายที่ยืนยันถึงสรรพคุณต่างๆ จากสารสำคัญที่พบในพลูคาวซึ่งแบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลักดังนี้

1. น้ำมันหอมระเหย (Essential Oil)

น้ำมันหอมระเหยในพลูคาวพบมากกว่า 300 ชนิด มีฤทธิ์ต้านไวรัส (Antiviral activity) ต้านเชื้อแบคทีเรีย (Antibacterial) และต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ของเซลล์ต่างๆภายในร่างกาย

จากงานวิจัยพบว่าสารสำคัญ 3 ชนิดในกลุ่มนี้ของพลูคาว ได้แก่ Lauryl Aldehyde, Capryl Aldehyde และ Methyl Nonyl Ketone มีฤทธิ์ต่อเชื้อ HIV ซึ่งก่อให้เกิดโรคเอดส์ โดยส่งผลให้ผู้ป่วยมีค่า CD4 เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งฤทธิ์ในการต้านไวรัสของสารดังกล่าวจะได้ผลดีกับไวรัสชนิดที่มีเปลือกหุ้ม เช่น HIV, HSV (ไวรัสโรคเริม) และ Influenza (ไวรัสไข้หวัดใหญ่) เป็นต้น

2. อัลคาลอยด์ (Alkaloid)

สาร Aristolactam และสารอัลคาลอยด์อื่นๆในพลูคาว มีฤทธิ์ยับยั้งและทำลายเซลล์มะเร็ง ในประเทศจีน มีการใช้พลูคาวเป็นส่วนประกอบในตำรับยาผงสำหรับรับประทาน ใช้ในการรักษามะเร็งในอวัยวะต่างๆ แบ่งตามสูตรตำรับยาแต่ละชนิด

3. ฟลาโวนอยด์ (Flavonoid)

สารสำคัญหลักในกลุ่มนี้ ได้แก่ Quercitrin, Quercetin, Hyperin และ Rutin มีฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant), ต้านมะเร็ง (Antineoplastic), ต้านการกลายพันธุ์ของเซลล์ในร่างกาย (Antimutagenic) และต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) โดยสาร Quercitrin ช่วยให้หลอดเลือดขยาย เลือดไหลเวียนดี และทำให้แผลหายเร็วขึ้น ส่วน Rutin ช่วยให้หลอดเลือดแข็งแรง

4. สารสำคัญอื่นๆ ได้แก่ สารกลุ่มกรดไขมัน (Fatty acid) ที่พบในผักคาวตอง ได้แก่ Capric acid, Lauric acid, Linoleic acid, Linolenic acid, Oleic acid, Palmitic acid, Stearic acid และ Tetradecanoic acid ทั้งนี้ ในส่วนของกรดไขมันที่จำเป็น เช่น Linoleic acid และ Linolenic acid มีคุณสมบัติช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยป้องกันโรคผิวหนัง ได้แก่ การเป็นแผลตกสะเก็ดในทารก ช่วยการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ ช่วยให้บาดแผลหายเป็นปกติเร็วขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีสารกลุ่มสเตอรอลในพืช เช่น β-Sistosterol, Spinasterol, Stigmasterol รวมถึงสารประกอบเคมีชนิดอื่นๆ ที่เป็นแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate เป็นต้น

 

 

 

 

กรอกแบบฟอร์มด้านล่างนี้เพื่อปรึกษาปัญหาสุขภาพหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้นะคะ

แบบฟอร์มติดต่อกลับ

Visitors: 87,248